3D printing ในยุคของเทคโนโลยีได้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าทางนวัตกรรม ก่อเกิดนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการและช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ 3d printing เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนรูปแบบของการพิมพ์ภาพเพียงมิติเดียวให้เป็นรูปแบบสามมิติที่สามารถสัมผัสได้จริง เครื่องพิมพ์3d เป็นนวัตกรรมมีมาแล้วนาน30ปี แต่ด้วยต้นทุนในการผลิตที่สูง การใช้เวลาในการสร้างที่นาน และพิมพ์ได้ในจำนวนที่จำกัด จึงทำให้ไม่เป็นที่นิยมและแพร่หลายในท้องตลาดทั่วไป ต่อมาได้มีการพัฒนาเครื่องพิมพ์ 3d มาจนถึงปัจจุบัน โดยมีรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
Stereolithography (SLA) เป็นเครื่องพิมพ์รุ่นแรกที่ถูกสร้างขึ้นมารูปแบบวิธีการทำงาน มีการใช้แสงเลเซอร์ยิงเข้าไปที่ของเหลวประเภทliquid photopolymer (resin) เพื่อเปลี่ยนสถานะของเหลวให้เป็นของแข็งแต่ด้วยระยะเวลาการทำงานและต้นทุนที่สูงจึงไม่นิยมมากนัก
Fused Deposition Modeling (FDM) เป็นกระบวนการใช้ที่แพร่หลาย เป็นการใช้พลาสติกหรือโลหะที่เป็นแท่งพันมาในลักษณะของม้วนส่งผ่านหัวจ่ายเพื่อหลอมละลายแล้วฉีดออกมาทีละชั้นจนได้มาเป็นรูปทรง
3D jet printer systems ใช้วิธีการทำงานรูปแบบเดียวกับเครื่องพิมพ์ Inkjet แต่เป็นการพ่นพลาสติกสีต่างๆออกมาแทนการใช้หมึกเพื่อสร้างรูปแบบ
Selective Laser Sintering (SLS) ใช้วิธีการทำงานในรูปแบบที่เป็นรูปแบบของ Stereolithography (SLA) โดยการใช้เลเซอร์เผาผนึกวัตถุดิบ Thermoplastic, Nylon, Polyamide และ Polystyrene วัตถุดิบจะมีลักษณะผง วิธีการผนึกวัตถุดิบที่ละชั้นจนได้เป็นรูปแบบ
Digital Light Processing (DLP) ใช้วิธีการเดียวเดียวกับ Selective Laser Sintering (SLS) แต่แตกต่างกันตรงที่การใช้แสงในการผนึกโดยวิธีการนี้ใช้แสงแสงสีขาวเป็นแหล่งกำเนิดแสงจากไฟแอลอีดีแทนแสงเลเซอร์
aminated Object Manufacturing (LOM) ใช้วิธีการใช้วัสดุในกลุ่มของเทอร์โมพลาสติกแผ่นบางๆเหมือนกระดาษซ้อนทันกันทีละชั้น แล้วนำเข้าเครื่องตัดตัดด้วยเลเซอร์
ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้3D มีการพิมพ์วัสดุต่างๆได้มากกว่ารูปแบบเดิมที่ใช้เพียง พลาสติก เรซิ่น โลหะ โดยมีการพัฒนาให้ใช้ได้กับอาหาร เป็นต้น ในอนาคตแนวโน้มในการนำเครื่อง3D มาใช้กันมากขึ้นคนทั่วไปสามรถสร้างสิ่งของต่างๆได้จากคอมพิวเตอร์ที่บ้าน โดยการใช้กับ เครื่อง3d printing